nostr relay proxy

event page

ในช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยได้เผชิญกับปัญหาศรัทธาในบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง เช่น RS, CPAXT และ STARK ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ผู้ถือหุ้นต้องแบกรับ ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวทางการดำเนินธุรกิจ ปัญหาด้านการเงิน หรือธรรมาภิบาลของผู้บริหาร เหตุการณ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการถือหุ้นในบริษัทหนึ่งๆ ไม่ใช่เพียงการลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนในอนาคต แต่ยังเป็นการรับความเสี่ยงที่อาจสร้างความเสียหายได้ในหลายมิติ จึงขอนำบทความที่น่าสนใจของ Anil (@AnilSaidSo) มาแปลให้เหล่า #siamstir ได้อ่านกัน ********************************************* 24 ความเสี่ยงของหุ้น การถือหุ้นหมายถึงการเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัท หรือการมีส่วนในสินทรัพย์ของบริษัทนั้น ๆ ในระยะยาว หุ้นอาจถูกมองว่าเป็น "ที่เก็บมูลค่า" เช่นเดียวกับ #bitcoin แต่สิ่งที่นักลงทุนควรพิจารณาคือความแตกต่างระหว่างหุ้นและ #bitcoin โดยเฉพาะความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการเป็นเจ้าของหุ้นในบริษัท ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 24 ข้อ ดังนี้: 1. ความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาล (Governance Risk) คุณกำลังนำเงินของคุณไปเสี่ยงกับการพึ่งพาการบริหารองค์กรซึ่งกระทำโดยคณะกรรมการและทีมผู้บริหาร บริษัทซึ่งเป็นมนุษย์ และการกระทำของมนุษย์เป็นที่มาของความเสี่ยงส่วนใหญ่ บริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือบริษัทที่ดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจโดยมีปัจจัยเสี่ยงจากมนุษย์น้อยที่สุด ยิ่งมีมนุษย์เกี่ยวข้องมาก ยิ่งต้องตัดสินใจมากเท่าไร ความเสี่ยงก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว 2. ความเสี่ยงด้านการดำเนินงาน (Operational Risk) ธุรกิจทุกแห่งต้องมีการดำเนินงาน เช่น การขนส่งสินค้า การบิน หรือการบริหารเครื่องจักรในโรงงาน หากบริหารทรัพยากรที่มีได้ไม่ดี ผู้ถือหุ้นจะได้รับผลกระทบ และในกรณีที่เกิดความผันผวนจากธรรมาชาติ ซึ่งควบคุมไม่ได้ ยิ่งการดำเนินงานยากขึ้นไปอีก 3. ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategic Risk) จากประสบการณ์ของฉัน(Anil) คู่แข่งของฉันทุกคนล้มเหลวเนื่องจากการเข้าซื้อกิจการที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากตัวเองเป็นบริษัทที่อ่อนแอและยังไปซื้อกิจการบริษัทที่อ่อนแออื่นๆอีก โดยมีเป้าหมายเพื่อประคองตัวเอง แต่สุดท้ายกลับเร่งให้ล่มสลายเร็วขึ้น พร้อมกับทำลายผลิตภัณฑ์ของตนเอง 4. ความเสี่ยงด้านการเงิน (Financial Risk) บริษัทต้องมีเงินหมุนเวียนจำนวนมากในธนาคาร เช่น เราเคยฝากเงินในธนาคารบราซิลแต่ซีอีโอของธนาคารยักยอกเงินไป หรือในอาร์เจนตินา รัฐบาลยึดทรัพย์สินทั้งหมดและลดค่าเงินจนเราเสียหาย ความเสี่ยงจากเครดิต คู่สัญญา และธนาคารล้วนเป็นปัจจัยที่อาจทำให้บริษัทล้มละลายได้ 5. ความเสี่ยงด้านการแข่งขัน (Competitive Risk) หากฉันเป็นผู้ผลิตที่เก่งที่สุดในโลก แต่มีคนอื่นที่ผลิตสินค้าที่ดีกว่าหรือถูกกว่า เช่น ร้านอาหารใหม่ที่ดีกว่า หรือโรงงานเหล็กที่ผลิตถูกกว่า สิ่งนี้สามารถทำลายฉันได้ การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านการแข่งขันในระยะยาวจึงแทบเป็นไปไม่ได้ 6. ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี (Technology Risk) เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น รถยนต์ของเฮนรี่ ฟอร์ด ที่ทำให้ไม่มีใครต้องการรถม้าอีกต่อไป บริษัทจำนวนมากล้มเหลวเพราะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ หรือบางบริษัทพยายามแข่งด้วยการลงทุนที่ผิดพลาดและสูญเสียมหาศาล 7. ความเสี่ยงด้านการเมือง (Political Risk) ความเสี่ยงทางการเมืองอาจเริ่มจากระดับท้องถิ่น เช่น การไม่อนุญาตให้ทำธุรกิจบางประเภทในพื้นที่ หรืออาจเกิดจากการกระทำของรัฐบาลต่างประเทศที่แบนธุรกิจของคุณ ความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา 8. ความเสี่ยงด้านสถานที่ (Facilities Risk) หากคุณมีโรงงาน ร้านอาหาร หรือเรือ ก็จะเสี่ยงต่อกฎระเบียบหรือข้อจำกัดในพื้นที่ต่างๆ 9. ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ (Regulatory Risk) กฎระเบียบสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และกฎระเบียบที่มากมายทำให้การปฏิบัติตามยากขึ้น 10. ความเสี่ยงด้านพนักงาน (Employee Risk) บริษัทที่มีพนักงานจำนวนมากจะต้องรับผิดชอบทางกฎหมายต่อการกระทำของพนักงานเหล่านั้น ยิ่งมีพนักงานมาก ความเสี่ยงยิ่งสูง 11. ความเสี่ยงด้านผู้ขาย (Vendor Risk) หากต้นทุนจากผู้ขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่น ค่าไฟฟ้า หรือราคาวัตถุดิบของร้านอาหาร สิ่งนี้จะกระทบต่อธุรกิจ 12. ความเสี่ยงด้านลูกค้า (Customer Risk) เมื่อ trend เปลี่ยน ลูกค้าอาจหยุดซื้อสินค้า หรือบางครั้งลูกค้ารายใหญ่ก็มีอำนาจต่อรองราคาจนส่งผลกระทบต่อธุรกิจ 13. ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง (Reputational Risk) ชื่อเสียงของบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากการกระทำหรือประวัติของผู้นำองค์กร 14. ความเสี่ยงด้านสงคราม (War Risk) สงครามสามารถทำลายธุรกิจได้ เช่น บริษัทท่องเที่ยวในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง 15. ความเสี่ยงด้านสกุลเงิน (Currency Risk) การลดค่าของสกุลเงินส่งผลต่อมูลค่าของผู้ถือหุ้น และบางครั้งบริษัทต้องทำสิ่งที่เสี่ยงเพื่อชดเชย เช่น กู้เงินจำนวนมากหรือเข้าซื้อกิจการอื่น 16. ความเสี่ยงด้านภาษี (Tax Risk) การเก็บภาษีจากรัฐบาลสามารถเปลี่ยนแปลงได้และอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจ 17. ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ (Weather Risk) สภาพอากาศส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เช่น ร้านอาหารกลางแจ้งในวันที่ฝนตก หรือภัยธรรมชาติที่ทำลายธุรกิจท่องเที่ยว 18. ความเสี่ยงด้านศุลกากร (Customs Risk) การเปลี่ยนแปลงข้อตกลงทางการค้าข้ามพรมแดนอาจทำให้ธุรกิจล้มได้ 19. ความเสี่ยงด้านกฎหมาย (Legal Risk) ความเสี่ยงทางกฎหมายเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามกฎ หรือการกระทำของพนักงานที่สร้างความเสียหาย 20. ความเสี่ยงด้านละเมิด (Tort Risk) หากสินค้าเสียหายหรือใช้งานไม่ได้ตามที่คาดหวัง บริษัทอาจถูกฟ้องร้อง 21. ความเสี่ยงด้านสิทธิบัตร (Patent Risk) การฟ้องร้องด้านสิทธิบัตรจากกลุ่มคนที่ไม่ได้ผลิตอะไร แต่แสวงประโยชน์จากระบบสิทธิบัตร 22. ความเสี่ยงด้านสุขภาพ (Health Risk) สุขภาพของผู้บริหารอาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะหากมีปัญหาสุขภาพในช่วงสำคัญของบริษัท 23. ความเสี่ยงด้านวัฏจักรชีวิต (Lifecycle Risk) มุมมองของเจ้าของหรือผู้บริหารจะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุและสถานการณ์ในชีวิต 24. ความเสี่ยงด้านการลดสัดส่วน (Dilution Risk) การออกหุ้นกู้เพิ่ม การเพิ่มทุน จะลดมูลค่าหุ้นของผู้ถือหุ้นได้ บทสรุป ความเสี่ยงทั้ง 24 ประเภทนี้เป็นสิ่งที่ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร และซีอีโอทุกคนต้องพิจารณาอยู่เสมอ หากลดความเสี่ยงเหล่านี้จนเหลือศูนย์ คุณจะเหลือเพียง #bitcoin ที่ไม่มีความเสี่ยงเหล่านี้. ปล.ข้อ 25. (Anil ไม่ได้เขียน แต่เห็นกำลัง live อยู่) “Tony risk ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสารขัณฑ์ จะเปลี่ยนได้เพราะคำพูดคนคนเดียว”

rendered in 10.419776ms